แนวคิด
ผมว่า Train to Busan ทำซอมบี้ออกมาเหมือนในหนังเรื่อง World War Z ครับ คือซอมบี้วิ่งไว วิ่งเร็ว ล่ามนุษย์เหมือนกระหายเลือด ซึ่งสร้างความตื่นเต้นได้มากขึ้น แม้ว่าจะไปต้องขึ้นเหนือล่องใต้ แค่อยู่ในรถไฟลำเดียว แค่นี้หนังก็อิ่มมากแล้วครับ
เป็นหนังที่กลมกล่อม
อย่ามองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีดีแค่วิ่งหนีซอมบี้นะครับ ยังมีน้ำตาซึมในแบบครอบครัวอีก ความเสียสละที่พ่อมีให้ลูก หนังเรื่องนี้ สามารถพาลูกไปดูได้นะผมให้ เพื่อสอนให้เด็กเห็นถึงความรักของคนเป็นพ่อ แถมไม่มีฉากเลิฟซีนด้วย
ความเป็นธรรมชาติของนักแสดง
ความเป็นธรรมชาติของนักแสดงคืสิ่งที่ทำให้หนังดูเป็นธรรมชาติ ทำให้หนังดูสมจริง และกงยูก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วครับ ความเป็นธรรมชาติของกงยูทำให้หนังออกมากลมกล่อม ดูไม่เฟค โดยเฉพาะการแสดงออกความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกสาว
คะแนนเนื้อเรื่อง เอาไป10/10 เลยครับ กับภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ตื่นเต้น น่ากลัว ความรักที่พ่อมีต่อลูก และต้องบอกก่อนเลยว่า ซอมบี้แต่ละเวอร์ชั่นจะมีจุดอ่อนที่ไม่เหมือนกัน ซอมบี้ในเรื่องนี้ จะมีจุดอ่อนคือ มองไม่เห็นในที่มืด และจะมีฉากที่พระเอกกับพรรคพวกต้องไปเอาของอีกโบกี้หนึ่ง ซึงมีซอมบี้อยู่ ก็ต้องรอจังหวะให้รถไฟไปในอุโมงค์ถึงจะเข้าไปอีกโบกี้ได้ และก็ต้องลุ้นให้ทำภารกิจเสร็จก่อนที่จะออกจากอุโมงค์ด้วย
ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้
1. ความตื่นเต้นจากการถูกไล่ลา แน่นอนว่านี่คือหัวใจหลักสำคัญของเรื่องนี้การหนีซอมบี้จากอีกโบกี้ ไปยังอีกโบกี้ มันบีบหัวใจ คนดู หัวใจจะวายตามคนหนีเลยครับ
2. ความรักของพ่อที่มีต่อลูก การปกป้งลูกคือการแสดงออกความรักที่สำคัญของเรื่องนี้ เพราะคนเป็นพ่อ พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ลูกรอดชีวิต แม้กระทั่งอุ้มลูกวิ่งหนีซอมบี้ ทั้ง ๆ ที่ลูกก็โตแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้วิ่งเองก็คงหนีไม่ทัน โดนงาบแน่ ๆ
3. ความรักของสามี ในหนังจะมีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่ง ที่ภรรยาท้องแก่ แต่สามีก็ยังช่วยปกป้อง ยอมโดนกัดเพื่อปกป้องภรรยา จนทำให้ภรรยาของเค้าหนีรอดไปได้